ฉันเอง

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของการรับประทานอาหารช้า

กินช้าทำไม

   คลั่งก้าวของชีวิตของเราสามารถนำเราไปกินกังวลไม่เคี้ยวอาหารของเราพอกินใน rush, ปิดมุมของตารางในด้านหน้าของคอมพิวเตอร์หรือแม้แต่ในรถ ยังสละเวลาของคุณเมื่อรับประทานอาหารมีประโยชน์มากมาย :
  • กินช้าป้องกันการกินมากเกินไป : เมื่อความเต็มอิ่มความรู้สึกไม่ได้ทันทีที่เวลาคุณจะชื่นชมร่างกายของอาหารมากขึ้นเวลาที่คุณให้สมองของคุณเพื่อถอดรหัสข้อความที่ส่งโดย ในความเป็นจริงการกระทำง่ายๆของการกินช้าสามารถช่วยลดน้ำหนักหรืออย่างน้อยที่สุดช่วยให้รักษาน้ำหนักเพื่อสุขภาพ ชะลอตัวลงใส่ลงภาชนะของคุณทุกสองกัดและดื่มน้ำหรือนมในอาหาร
  • เพลิดเพลินเพิ่มเติมกัดกินหนึ่งครั้งจะช่วยให้คุณลิ้มรสอาหารของคุณมากขึ้น โดยให้ใช้เวลาในการนั่งกินกับคนที่สนุกสนานและเน้นอาหารของคุณในขณะที่หลีกเลี่ยงการรบกวนเช่นโทรทัศน์ ชะลอตัวลงในช่วง mealtimes หมายถึงการดูแลสุขภาพของคุณและวิธีการกิน savoring pleasures!
    ถ้าคุณเพียง wolf ลงคุณไม่เคยเห็นความแตกต่างในรสชาติและเนื้อสัมผัส มันเหมือนกับพยายามชื่นชมธรรมชาติ, แสง, สี, สภาพแวดล้อมที่สวยงามในขณะขับรถเร็วจริงๆ
  • การย่อยอาหารดีขึ้น : คุณรู้ไหมว่าเป็นส่วนสำคัญของการย่อยอาหารเกิดขึ้นในปากด้วยน้ำลายเอนไซม์ที่ผลิตโดย? การย่อยคาร์โบไฮเดรตจริงจะเริ่มขึ้นในปากของคุณแล้วคุณยังคงอยู่ในลำไส้เล็ก โปรตีนย่อยส่วนใหญ่ในท้องของคุณ เมื่อคุณเคี้ยวท้องของคุณจะส่งข้อความเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะมาและเพื่อให้สามารถเตรียมเอนไซม์ที่ถูกต้อง ดังนั้นการกินช้าๆและเคี้ยวอย่างถูกต้องปรับปรุงการย่อยของคุณในหลายๆ
  • ความต้านทานต่ออินซูลิน : ญี่ปุ่นวิจัยพบว่าการกินเร็วมีความเกี่ยวข้องกับความต้านทานต่ออินซูลิน ความต้านทานต่ออินซูลินเป็นภาวะเงียบที่เพิ่มโอกาสในการพัฒนาโรคเบาหวานและโรคหัวใจ นอกจากนี้การรับประทานอาหารอย่างรวดเร็วดูเหมือนจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับ metabolic syndrome (การรวมกันของอาการเช่นความดันโลหิตสูงโรคอ้วนคอเลสเตอรอลสูงและความต้านทานต่ออินซูลิน)
  • และ gastroesophageal reflux อิจฉาริษยา : การรับประทานอาหารอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดกรด มันอาจจะจริงอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทุกข์ทรมานจาก GERD (gastroesophageal Reflux โรค)


ที่มาจาก  www.lifemojo.com

โทษ และ ประโยชน์ของการดื่มชา

โทษ และ ประโยชน์ของการดื่มชา


  เครื่องดื่มชามีมานานกว่า 4,700 ปี นอกจากดื่มแก้กระหาย แก้ง่วง ยังช่วยต้านโรคที่เกิดจากอนุมูลอิสระ เราจะดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ มีคำแนะนำ
1. ชาร้อน ๆ จะทำให้สารที่เป็นประโยชน์ คือ "คาเทคชินส์" ถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพและยังนิยมชาร้อน ๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น

2. ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี แต่หากผ่านการทำให้ร้อนปริมาณสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายเช่นกัน

3. ชาร้อนหรือชาเย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชาและทำลายประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

4. ผู้รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกันควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมไปด้วย เพราะสารสำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

 


5. โทษของการดื่มชาต่อร่างกายก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสำคัญคือ "แทนนิน" จะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุต่าง ๆ จากอาหารที่รับประทาน ทำให้ลดการดูดซึมของสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย จึงมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชาไม่ว่าจะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อนเพราะจะทำให้ขาดสารอาหาร

6. ใบชายังมีองค์ประกอบที่ให้โทษต่อร่างกายที่ยังไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง คือ มีฟลูออไรด์ในปริมาณค่อนข้างสูง ทำให้เกิดการสะสมมีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคกระดูกพรุน โรคข้อ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับกระดูก แต่ถ้าดื่มไม่มากก็ไม่ต้องกังวล

7. ใบชามีสารที่ชื่อว่า "ออกซาเลท" แม้จะมีอยู่น้อย แต่หากดื่มชามาก ๆ และดื่มบ่อย ๆ เป็นประจำ สารนี้จะสะสมในร่างกาย เป็นอันตรายต่อไต

8. ใบชามีสารกาเฟอีนสูง
อาจสูงกว่ากาแฟด้วยซ้ำเพียงแต่การดื่มน้ำชาสารแทนนินจากชาจะป้องกันหรือลดการดูดซึมของกาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจและสมองน้อยกว่ากาแฟมาก
เพราะฉะนั้นเราจึงควรดื่มชาในปริมาณพอดี ๆ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

คุณประโยชน์ของสารอาหารจากพืชผัก

คุณประโยชน์ของสารอาหารจากพืชผัก




ผักและผลไม้สามารถแบ่งออกเป็นหลากหลายกลุ่มสี อันได้แก่ สีแดง, สีเหลือง/เขียว, สีเขียว, สีขาว/เขียว, สีส้ม/เหลือง, สีส้ม, สีแดง/ม่วง สีเหล่านี้ถูกผลิตมาจากสารอาหารจากพืชผักจำเพราะที่เรียกว่าไฟโตนิวเทรียนส์ (Phytonutrients) ที่จะทำปฎิกิริยากับร่างกายของเราและบางครั้งจะถูเก็บไว้ในร่างกาย สำหรับการมีสุขภาพที่ยอดเยี่ยม คุณควรรับประทานผักผลไม้หลากสีหนึ่งอย่างในแต่ละสีในทุกๆ วัน
  • สีส้ม-เหลือง ส้ม,ส้มจี๊ด,ลูกพีช,มะละกอ
  • สีส้ม แครอท,มะม่วง,แอพริคอท,แคนตาลูป,ฟักทอง,มันเทศ
  • สีแดง-ม่วง องุ่นแดง,ลูกพลับสดหรือแห้ง,ผลแครนเบอรี่,ราสเบอรี่,แบล็คเบอรี่,บลูเบอรี่,สตรอเบอรี่ 
  • สีแดง มะเขือเทศ,และผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ,แตงโม,ส้มโอ
  • สีเหลือง-เขียว ผักโขม,อโวคาโด,แตงเมลอน,ข้าวโพดเหลือง,ถั่วเขียว
  • สีเขียว บล็อคโคลี่,ถั่วงอก,ผักกาด,ผักกาดจีน,ผักปวยเล้ง
  • สีขาว-เขียว กระเทียม,หัวหอม,หอมหัวใหญ่,คื่นช่ายฝรั่ง,ต้นหอม,หน่อไม้ฝรั่ง
เราแนะนำให้รับประทานวันละ 7 ถ้วยตวง สำหรับผู้หญิง และ 9 ถ้วยตวง สำหรับผู้ชาย (หนึ่งถ้วยตวงสำหรับผักสด, สำหรับผักที่ปรุงแล้วให้เหลือครึ่งถ้วย หรือครึ่งถ้วยสำหรับผลไม้)
ในการทำให้การรับประทานผักผลไม้ 7 ถึง 9 ถ้วยตวงต่อวันเป็นเรื่องง่ายนั้น ลองรับประทานผักและผลไม้แช่แข็ง, ซอสมะเขือเทศหลากชนิด น้ำผลไม้หรือซุป และสลัีดทำสำเร็จ
สารอาหาร Phytonutrients สามารถช่วยป้องกันร่างกายเราจากมะเร็งได้
ประโยชน์ของสีในพืช
คุณทราบไหมคะว่าสารสีต่างๆ ที่มีอยู่ในพืชนั้นมีประโยชน์และมีบทบาทมากพอๆ กับวิตามินเลยทีเดียว โดยมาร์ ฟาร์กัวสัน ผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชก็ได้แยกไว้อย่างคร่าวๆ พอให้เข้าใจได้ง่ายได้ดังนี้ค่ะ
  • สารสีแดง มีสาร Cycopene เป็นตัวพิวเม้นท์ให้สีแดงในแตงโม มะเขือเทศ สาร Betacycin ให้สีแดง ในลูกทับทิม บีทรูท และแคนเบอร์รี่ สารทั้งสองอย่างนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxydants ซึ่งจะช่วยป้อง กันการเกิดมะเร็งหลายชนิด
  • สารสีส้ม ผักและผลไม้สีส้ม เช่น มะละกอ แครอท มีสาร Betacarotene ซึ่งมีศักยภาพต้านอนุมูลอิสระอันเป็นตัวก่อมะเม็ง คนผิวขาวซีดที่กินมะละกอหรือแครอทมาก ผิวจะออกสีเหลืองสวย ทางกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาประกาศว่า การกินแครอทวันละ 2-3 หัว จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือด คนไทยที่ทดลองกินมะละกอห่ามมากๆ นานถึง 2 ปี จะช่วยเปลี่ยนสีผิวหน้าที่เป็นฝ้าให้หายได้โดยไม่ต้องพึ่งครีมแก้ฝ้าเลย
  • สารสีเหลือง พิกเม้นต์ Lutein คือสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ช่วยป้องกันกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรตินาดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนแก่มองไม่เห็น
  • สารสีเขียว พิกเม้นต์คลอโรฟีลล์ (Chlorophyll ) เป็นสารที่ให้สีเขียวแก่ผักต่างๆ ผักที่มีสีเขียวแก่ผักต่างๆ ผักที่มีสีเขียวเข้มมากก็ยิ่งมีคลอโรฟีลล์มาก เช่น ตำลึง คะน้า บร็อกโคลี่ ชะพลู บัวบก เป็นต้น และสารคลอโรฟีลล์ ก็มีคุณค่ามากเหลือเกิน นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเมื่อคลอโรฟีลล์ถูกย่อยแล้ว จะมีพลังแรงมากในการป้องกันมะเร็ง ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆ ในตัวคนด้วย
  • สารสีม่วง พืชสีม่วงมีสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) เป็นต้นให้สีม่วงที่คุณเห็นในดอกอัญชัน กะหล่ำม่วงผิวชมพู่มะเหมี่ยว มะเขือม่วง แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสารตัวนี้ช่วย
ลบล้างสารที่ก่อมะเร็งและสาร Anthocyanin นี้ยังออกฤทธิ์ทางขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และอัมพาตด้วย


  ที่มาจาก   www.look4thailand.com

วิธีแก้หล้งเป็นสิว เริ่มที่ต้นเหตุ

   วิธีแก้หลังเป็นสิว
    "เริ่มตั้งแต่ต้นเหตุ!"ใครหลังเป็นสิวบ้างยกมือขึ้นค่ะ วันนี้เราพาคุณผู้หญิงมาหาวิธีแก้หลังเป็นสิวเริ่มตั้งแต่ต้นเหตุกันเลยดีกว่าค่ะ เพราะเรารู้ดีกว่าการหากหลังเป็นสิวอาจจะทำให้คุณผู้หญิง ๆ หลายคนอดใส่เสื้อผ้าสายเดี่ยว เกาะอก หรือจะใส่เสื้อผ้าที่เปิดหลังไม่ได้เลยเพราะมัวแต่กังวลเรื่องหลังเป็นสิวกันอยู่ใช่ไหมล่ะค่ะ การเป็นหลังที่สิวทำให้เกิดปัญหาแผลเป็นและจุดด่างดำที่สิวทิ้วไว้ให้เราด้วยอีกต่างหาก ฉะนั้นเรามาดู วิธีแก้หลังเป็นสิว กันตั้งแต่ตอนนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดหลังเป็นสิวกันอีกเพราะเราจะเริ่ม วิธีแก้หลังเป็นสิว กันตั้งแต่ต้นเหตุกันเลยค่ะ





วิธีแก้หลังเป็นสิว


ก่อนอื่นเลยค่ะหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำให้เกิดผดผื่นดังกล่าวเสียก่อนค่ะ นั่นก็คือแสงแดด ความอับชื้น เหงื่อ เป็นต้น ควรเลือกเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดีค่ะ นอกจากนี้ยังมีอีกสาเหตุค่ะ นั่นคือ ไม่ยอมอาบน้ำโดยเฉพาะตอนเย็นหรือที่นอนสกปรกก็เป็นสาเหตุให้เกิดสิวที่หลังได้นะคะ เพราะตอนกลางคืนขณะที่เราหลับสิ่งสกปรกเหล่านี้จะมาอุดตันได้ง่ายค่ะ หากที่นอน หมอน หรือชุดนอนเราสกปรก (ใส่หลาย ๆ วันเพราะคิดว่าอยู่ห้องแอร์ไม่มีเหงื่อ) หรือไม่อาบน้ำแล้วมานอนเลยก็อาจทำให้เกิดสิวที่หลังได้ง่าย ๆ ค่ะ รู้อย่างนี้แล้วนะคะอย่าหมักหมมเด็ดขาดค่ะ หมั่นซักผ้าปูที่นอน ชุดนอน และอาบน้ำทุกครั้งก่อนนอนค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สยามดารา ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

ประโยชน์ของกีวี

     ประโยชน์ของกีวี    


    แหล่งวิตามินซีในปริมาณสูงสุด

        นอกจากกีวีสีเขียวที่เราคุ้นเคยยังมีกีวีโกลด์หรือกีวีสีทองให้เลือกบริโภค กีวีทั้งสองชนิดมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดหากเทียบกับผลไม้ขึ้นชื่อเรื่องวิตามินซี อาทิ ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่ากีวีหนึ่งผล มีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็นได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งเป็นเกราะธรรมชาติที่ช่วยป้องกัน ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ

อุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
      โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรมจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ยังช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%





   สุดยอดคุณค่าวิตามินอี


     วิตามินอีได้รับการขนานนามว่าช่วยชะลอความแก่ชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการเสื่อมสภาพแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่ากีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะกีวีทองซึ่งมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า


เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์

ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่เข้าไปยึดพื้นที่ในระบบทางเดินอาหารทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหารรวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไทยรัฐ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

คุณค่าทางโภชนาการของน้ำฟักทอง

คุณค่าทางโภชนาการของน้ำฟักทอง




ฟักทอง
     ฟักทองเป็นผักที่มีประโยชน์และสามารถนำไปใช้ได้หลายทาง มนุษย์รู้จักปลูกและนำฟักทองไปใช้เป็นเวลานานแล้ว ซึ่งถูกค้นพบในทวีปอเมริกาประโยชน์ของฟักทอง
    เนื้อฟักทองให้รสชาติมันอมหวาน จึงใช้ทำอาหารได้ทั้งคาวหวาน เช่น ฟักทองผัดไข่ แกงเลียงรวมผัก ฟักทองแกงบวด สังขยาฟักทอง เมล็ดฟักทองก็สามารถใช้เป็นทั้งยาและอาหารเสริมชั้นดี ร้อยละ 40 ในเมล็ดฟักทองเป็นไขมันจึงนำมาสกัดเป็นน้ำมันปรุงอาหาร กรดอมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ นอกจากนั้นเมล็ดฟักทองมีสารที่ออกฤทธิ์ขับพยาธิตัวตืดออกมาได้ยอดเยี่ยม ฟักทองสามารถนำมาออกจิ้มน้ำพริก ผัดน้ำมัน ใส่ลงหม้อแกงเลียง แกงส้มก็ได้ เนื้อของฟักทองอุดมไปด้วยสารเบต้า-เคโรทีน สัมพันธ์กับการลดโอกาสเกิดมะเร็งในมนุษย์ เนื้อฟักทองได้รับการพิสูจน์และว่า ปราศจากสารที่เป็นคู่อริต่อสุขภาพทั้งโซเดียมและคอเรสเตอรอล หากกินทั้งเปลือกฟักทองยังสามารถกระตุ้นการหลั่งของอินซูลิน ซึ่งเร่งช่วยควบคุระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันเบาหวาน โรคความดันโลหิต บำรุงตับไต นัยน์ตา และอวัยวะสำคัญที่ควบคุมสมดุลร่างกายโดยช่วยสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ         นอกจากนี้เมล็ดฟักทองมีฟอสฟอรัสสูงสามารถนำไปกวนใช้เป็นอาหารเสริมให้แก่เด็ก ๆ ได้ ผลฟักทองมี่มีคุณภาพดีต้องเป็นผลขนาดเล็กเนื้อแน่น ๆ ถ้าอยากกินฟักทองรสเข้มข้น เนื้อกระชับพิเศษก็ให้วางผลฟักทองทิ้งไว้ข้างนอกซักหลาย ๆ วัน น้ำที่ระเหยออกไปจากผลจะช่วยให้เนื้อฟักทองมีรสจัดจ้านขึ้นและสารเบต้า-แคโรทีนก็เพิ่มมากขึ้นด้วย

ที่มาจาก    www.bloggang.com
      ประโยชน์จากสารอาหารของธัญพืชฟักทอง

   ฟักทองเป็นผักที่มีประโยชน์มากอีกชนิดหนึ่ง นอกจากจะใช้เนื้อฟักทองเป็นอาหารแล้ว ยังสามารถใช้เป็นยาได้ด้วยเมล็ดฟักทองก็นำไปคั่วกินเป็นอาหารว่างได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถสกัดน้ำมันจากเมล็ดฟักทองใช้เป็นยาได้อีกด้วย
ฟักทองมีวิตามินอยู่หลายชนิดมีรายงานทางการแพทย์พบว่า ฟักทองมีฤทธิ์ป้องกัน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคไต ทั้งนี้เนื่องจากฟักทองสามารถกระตุ้นการหลั่งของอินซูลินในร่างกาย นอกจากนี้ฟักทองยังช่วยเสริมสมรรถภาพของตับไต และช่วยเพิ่มการสร้างเซลล์ของตับและไต
การใช้ฟักทองทั้งผลใช้เป็นยานั้นเป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว จนพูดกันว่าฟักทองทั้งผลใช้เป็นยาได้ทั้งหมด เพราะทั้งเนื้อ เมล็ด ราก และเครือฟักทอง ( หมายถึงลำต้น ซึ่งเป็นเถาเลื้อย ) ล้วนใช้เป็นยาได้ ฟักทองมีรสหวาน ฤทธิ์อุ่น มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลังลดอาการอักเสบ แก้ปวด และที่สำคัญคือมีฤทธิ์ในการขับพยาธิอีกด้วย
มีข้อควรระวังอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือ คนที่กระเพาะร้อน ( คือมีอาการกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ปัสสาวะน้อย ท้องผูก ถ้าร้อนมากขึ้นไปอีกอาจพบแผลใน ช่องปาก ปากเปื่อย เหงือกบวมแดง ชอบทานน้ำเย็น ) ไม่ควรกินฟักทองให้มาก เพราะฟักทองจัดเป็นยาร้อนแม้คนปรกติเอง ถ้ากินครั้งเดียงมาก ๆ ก็อาจจะทำให้มี อาการท้องอีด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้
สำหรับเมล็ดฟักทองมีไขมันอยู่จำนวนมาก สามารถบีบเอาน้ำมันออกมาได้ใช้เป็นน้ำมันพืช นอกจากนี้ยังมีโปรตีน และวิตามิน บี และ ซี อีกด้วย

ประโชน์ของลูกเดือย

ลูกเดือย
 
 
 

       จัดเป็นพืชตระกูลข้าว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coix lachryma-jobi Linn var.mayuen Stapt Family Gramineae ในปัจจุบันนิยมนำมาเป็นส่วนผสมหนึ่งของน้ำ RC
สำหรับประโยชน์ของธัญพืชชนิดนี้ ในตำรายาจีนกล่าวว่า ลูกเดือย รสชุ่มจืด เย็น แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงม้าม ปอด กระเพาะอาหาร ม้าม ขับปัสสาวะ รวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอดรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย แก้ไข้ เหน็บชา ชักกระตุก สตรีตกขาวมากกว่าปกติ ในตำรายาจีนจึงมักใช้ลูกเดือยบดผสมข้าว ต้มเป็นข้าวต้มกินทุกวันเพื่อบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บวมน้ำ ปวดข้อเรื้อรัง นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการรับประทานลูกเดือยต้มน้ำตาลสามารถที่จะแก้ร้อนในได้
เมื่อพิจารณาส่วนประกอบทางเคมีของลูกเดือยมี
- คาร์โบไฮเดรต 58-62%
- ไขมัน 5%
- โปรตีน 12%
- น้ำ 10.8 %
- ใยอาหาร 8.4 %
       นอกจากนี้ในลูกเดือยยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง เป็นต้น
ดังนั้นลูกเดือยเป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง จึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง และการที่มีวิตามินบีหนึ่งสูงจึงช่วยแก้เหน็บชาตามความเชื่อของชาวจีน
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ว่าสาร coxenolide ในเมล็ดเดือยมีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอก และพบว่าสารสกัดด้วยน้ำหรือตัวทำละลายอินทรีย์ จากรากหรือเมล็ดเดือยมีฤทธิ์ทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้น ทำให้เส้นผมเจริญดีขึ้น ลูกเดือยยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยังยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
มีการทดลองพบว่าเมล็ดลูกเดือยมีสาร Coixans A, B และ C ลดน้ำตาลในเลือดหนูปกติ Coixan A มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดหนูเป็นเบาหวานได้
       สำหรับน้ำลูกเดือยให้ฟอสฟอรัสสูงมากช่วยบำรุงกระดูก รองลงมามีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงธาตุ เป็นอาหารสำหรับคนไข้พักฟื้น ช่วยเจริญอาหารนอกจากนี้ลูกเดือย มีกรดอะมิโนที่กระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอนหลับ สมองที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา จะได้หยุดพักชั่วคราว จึงแนะนำให้ผู้ที่นอนไม่หลับ ดื่มน้ำอุ่นผสมลูกอาจจะช่วยให้นอนหลับได้


 http://www.pharm.su.ac.th

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ดูแลสุขภาพด้วย น้ำข้าวกล้องงอก

    ดูแลสุขภาพด้วย น้ำข้าวกล้องงอก
  
       เวลานี้อาหารสุขภาพยอดฮิตที่ถูกถามหากันมากที่สุด คงหนีไม่พ้น “น้ำข้าวกล้องงอก” เป็นแน่ เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นช่วงปีใหม่มา “น้ำข้าวกล้องงอก” ก็ได้รับความสนใจและเป็นที่ต้องการเป็นพิเศษ เรื่องราวของ “ข้าวกล้อง” และ “ข้าวกล้องงอก”
สำหรับข้าวกล้องนี้ถือว่าเป็นเมนูยอดฮิตของคนรักสุขภาพเลยทีเดียว โดยข้าวกล้องนั้น ก็คือข้าวที่ผ่านกรรมวิธีการสีเพียงครั้งเดียว เพื่อให้เปลือก (แกลบ) หลุดออกไป ดังนั้นจึงยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวที่เป็นสีน้ำตาลและสีแดง (รำ) เหลืออยู่ ต่างจากข้าวประเภทอื่นๆที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวัน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวหลุดลอกออกไปหมดแล้ว
จมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) นี่แหละค่ะที่เป็นแหล่งอุดมไปด้วยกรดไฟติก (Phytic acid) วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 บี 12 วิตามินซี วิตามินอี สารกาบา (Gamma amino butyric acid) เส้นใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่นิยมรับประทานข้าวกล้องมากนัก ด้วยข้าวกล้องจะมีเนื้อแข็ง เพราะมีกากเยอะจึงไม่นิ่มเหมือนข้าวประเภทอื่นๆ ทำให้รู้สึกว่าทานไม่อร่อยนั่นเอง
        ส่วนข้าวกล้องงอก เป็นเรื่องที่เพิ่งได้ยินกันไม่นานนี้เอง ซึ่งข้าวกล้องงอก (Germinated brown rice หรือ GABA-rice) เป็นข้าวกล้องที่ต้องนำมาผ่านกระบวนการงอกเสียก่อน พอนำข้าวกล้องมาแช่น้ำจนกลายเป็นข้าวกล้องงอกแล้ว จะทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสารกาบา และข้าวกล้องที่แช่น้ำทิ้งไว้แล้วเมื่อนำไปหุงก็จะได้ข้าวที่นุ่มน่ารับประทานกว่าข้าวกล้องธรรมดาด้วย
    “สารกาบา” พระเอกของข้าวกล้องงอก     สารกาบา หรือ Gamma amino butyric acid เป็นกรดอะมิโนจากกระบวนการ Decarboxylation ของ กรดกลูตามิก ( Gutamic acid) กรดนี้มีความสําคัญในการทำหน้าที่สารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ในระบบประสาทส่วนกลาง และสารกาบายังเป็นสารสื่อประสาทประเภทสารยับยั้ง (Inhibitor) โดยจะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมอง ช่วยทำให้สมองผ่อนคลายและนอนหลับสบาย อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อ (Anterior Pituitary) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (HGH) ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ และเกิดสาร Lipotropic ป้องกันการสะสมไขมัน
          จาก การศึกษาและวิจัยพบว่า การบริโภคข้าวกล้องงอกที่มีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง และโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์ได้ ดังนั้น จึงได้มีการนำสารกาบามาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ต่างๆ หลายโรค เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลมชัก เป็นต้น รวมทั้งผลการวิจัยด้านสุขภาพระบุว่าข้าวกล้องงอกที่ประกอบด้วยสารกาบา มีผลช่วยลดความดันโลหิต ลด LDL (Low Density lipoprotein) ลดอาการอัลไซเมอร์ ลดน้ำหนัก ทำให้ผิวพรรณดี และใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลางได้อีก
ประโยชน์ของข้าวกล้องงอก
     ประโยชน์ที่ได้จากการรับประทานข้าวกล้องงอกนั้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ที่ได้รับจากสารกาบา ไม่ว่า จะเป็นช่วยให้สมองผ่อนคลาย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ บำรุงระบบประสาท หรือลดความดันโลหิตแล้ว การรับประทานข้าวกล้องงอกยังช่วยลดความเสี่ยมจากโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ช่วยระบบย่อยอาหาร ช่วยให้สมองผ่อนคลาย นอนหลับสบาย และช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้ด้วย แถมยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ไม่ให้แก่ก่อนวัยได้อีก (สาวๆ ต้องฟังไว้) ถือได้ว่าแค่รับประทานข้าวกล้องงอกก็ครบถ้วนไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่าง กายทั้งสิ้น
ผู้ที่ไม่ควรทานข้าวกล้องงอก
    สารต่างๆในข้าวกล้องงอกล้วนมีประโยชน์มากมาย ดังนั้นข้าวกล้องงอกจึงมีประโยชน์ต่อทุกเพศ ทุกวัย   ยกเว้นกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์ ที่ไม่ควรรับประทาน เพราะเมล็ดข้าวกล้อง หรือยอดผักต่างๆ ที่กำลังจะงอก จะมีสารยูริคจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคเกาต์ ซึ่งเป็นโรคเกิดจากการที่มีสารยูริคจำนวนมากสะสมอยู่ตามข้อ จนเกิดการอักเสบนั่นเอง




ที่มาจาก     www.goldcupfoods.com

ประโยชน์ของเห็ด

     ประโยชน์ของเห็ดสามอย่าง   




             เห็ด  3 อย่าง ..... คือเห็ด 3 ชนิด หรือ 3 ชนิดขึ้นไป จะเป็นเห็ดสดหรือเห็ดแห้งก็ได้ นำมาปรุงอาหารแล้วกินได้ทั้งเนื้อเห็ดและน้ำต้มเห็ดค่ะ

ประโยชน์ของเห็ดสามอย่างเมื่อนำมารวมกันปรุงอาหาร
- ล้างสารพิษที่ตกค้างในตับ ช่วยบำรุงตับ
- ลดอนุมูลอิสระที่จะเกิดเป็นเซลล์มะเร็ง

เห็ดชนิดเดียวประโยชน์ยังไม่มากเท่ากับเห็ด 3 อย่างมารวมกัน หรือ 3 อย่างขึ้นไป เห็ดที่นำมาใช้คือ เห็ดที่กินได้ เช่น เห็ดหูหนูดำ เห็ดหูหนูขาว เห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดโคน เห็ดเข็มทอง ล้างน้ำให้สะอาดก่อนปรุงอาหารนะคะ
          โปรตีนในเห็ด 3 อย่าง เมื่อนำมารวมกันประกอบอาหารแล้วจะได้โปรตีนจากเห็ดที่ร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ โปรตีนจากเห็ดจะไปสร้างกรดอะมิโนที่บำรุงสมอง ปรับสมดุลย์ของการสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย ต้านการเกิดมะเร็ง ขจัดสารพิษ แต่ถ้าคนที่เป็นมะเร็งแล้วกินได้ แต่อย่าคาดหวังอะไร ควรให้แพทย์รักษาจะดีที่สุด
อาหารตัวอื่นที่ต้านอนุมูลอิสระได้ดีก็มีมากมายเช่น กระเจี๊ยบเขียว ลูกหม่อน ผัก และ ผลไม้ที่ควรกินป้องกันเอาไว้ค่ะ
           น้ำต้มเห็ดสามอย่างใช้ทำเป็นน้ำซุปปรุงอาหารก็ได้ แต่ไม่ควรนำเห็ดสามอย่างไปผัดน้ำมัน ถ้าจะผัดควรใช้กะทิผัดแทนน้ำมันเพราะกะทิเป็นไขมันที่ละลายในน้ำได้ และกะทิมีโคเลสเตอรอลฝ่ายดีมีประโยชน์ต่อร่างกายค่ะ..


ที่มาจาก  www.goldcupfoods.com

ความมหัศจรรย์ของชาเขียว

ความมหัศจรรย์ของชาเขียว




     "ขาดอาหารสามวันยังดีเสียกว่า ขาดชาเพียงวันเดียว" (สุภาษิตจีนโบราณ)
มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว
ปัจจุบัน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกพบว่า การดื่มชาเขียวมีผลอย่างชัดเจนต่อสุขภาพ เช่น ในปี 1994 วารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงว่า การดื่ม ชาเขียวช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหาร ในหมู่ชาวจีนทั้งหญิงชาย ได้ถึง เกือบ 60% เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปูร์ดู สรุปว่า สารประกอบในชาเขียว ช่วยยับยั้งอัตราการเติบโตของเซลมะเร็งได้ นอกจากนั้น ยังมีการวิจัยที่แสดงว่า การดื่มชาเขียวช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลโดยรวมได้ และยังช่วยปรับอัตรา HDL ให้เป็น LDL
ชาเขียวมีดีตรงไหน 
ความลับของชาเขียวอยู่ที่ปริมาณสาร Catechin Polyphenol โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Epigallocatechin Gallate (EGCG) ที่มีอยู่มากในตัวชา EGCG เป็นสารต้านพิษ และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลมะเร็งด้วยการฆ่าเซลมะเร็ง โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี นอกจากนั้นยังช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอล และยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด ซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก มักมีการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากการดื่มชา เข้ากับประโยชน์ทีได้จากการดื่มไวน์ นักวิจัยสงสัยมานานแล้วว่า ทำไมชาวฝรั่งเศสจึงมีอัตราการป่วยด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาวอเมริกัน ทั้งที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูง คำตอบก็คือ เป็นเพราะไวน์แดง ซึ่งมีสาร Resveratrol ที่เป็น Polyphenol ที่ลดอันตรายจากการสูบบุหรี่และรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง

ในการวิจัยเมื่อปี 1997 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคนซัส สรุปว่า EGCG นั้นแรงเท่า ๆ กับ Resveratrol ถึงเกือบ 2 เท่า ซึ่งเป็นการอธิบายว่า ทำไมชาวญี่ปุ่นจึงมีอัตราการเสี่ยงโรคหัวใจค่อนข้างต่ำ แม้ว่ากว่า 75% จะสูบบุหรี่ก็ตาม

ทำไมชาจีนอื่น ๆ จึงไม่ดีเท่าชาเขียว ชาเขียว ชาอูลอง และชาดำต่างก็มา จากใบของต้น Camellia Sinensis การที่ชาเขียวมีประโยชน์มากกว่า ก็เนื่องมาจากกระบวนการแปรรูป โดยใบชาเขียวจะถูกนำมาอบไอน้ำ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้สารประกอบ EGCG เข้ารวมตัวกับออกซิเจน ในทางตรงข้าม ใบชาอูลองและชาดำกลับเกิดจากการนำใบชาไปหมัก ซึ่งทำให้ EGCG ถูกเปลี่ยนเป็นสารประกอบชนิดอื่น ซึ่งแทบไม่มีประสิทธิภาพ ในการป้องกันหรือต่อสู้โรคใด ๆ เลย

สาร EGCG นี้ในทางเคมีจัดเป็นสารโพลี่ฟีนอลชนิดหนึ่งที่มีการวิจัยกันอย่างกว้างขวางและหลายการวิจัยก็พบว่า สาร EGCG ดังกล่าวนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายได้แก่

1. มีส่วนช่วยในขบวนการ การกำจัดไขมันโคเรสเตอรอลในหลอดเลือด ซึ่งทำให้ลดภาวะความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง จากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด
2. ช่วยในการขับสารพิษ และสารอนุมูลอิสระ จึงส่งผลในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งและโรคความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
3. ช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เนื่องจากมีผลในการกระตุ้นการทำงานระดับเซลล์
และนอกจากสรรพคุณดังกล่าวจากสาร EGCG ที่มีอยู่ในชาเขียวแล้ว ชาเขียวยังให้สารอื่นๆ อีกมากมายเช่น สารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ซึ่งมีประโยชน์ต่อขบวนการการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และขับสารพิษตกค้างออกจากร่างกายของเรา และจะทำงานร่วมกับสาร EGCG ในการช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น และลดความเสี่ยงจากอันตรายของสารพิษและอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นชาเขียวยังมีวิตามิน (Vitamins) เกลือแร่ (Minerals) และสารอาหารจากพืชที่มีความสำคัญต่อร่างกายอีกมากมาย

ประโยชน์อื่น ๆ 
มีหลักฐานใหม่ ๆ ที่แสดงว่า ชาเขียวสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ ในเดือนพฤศจิกายน 1999 วารสาร The American Journal of Clinical Nutrition ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในสวิสเซอร์แลนด์ นักวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มทั้งสารสกัดคาเฟอินและชาเขียว มีการเผาไหม้แคลลอรี่มากกว่า คนที่ได้คาเฟอินอย่างเดียว นอกจากนั้น ชาเขียวยังช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วย ความสามารถในการทำลายแบคทีเรียของชาเขียว สามารถ ป้องกันอาหารเป็นพิษได้ และยังช่วยฆ่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดคราบพลัคในช่องปาก ในขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ถนอมผิว ที่มีส่วนผสมของชาเขียว ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาดับกลิ่นตัวหรือครีม บำรุงผิว ก็เริ่มมีวางขายในตลาด

คุณควรดื่มชาเขียวมากเท่าไร 
คำตอบมีมากพอ ๆ กับจำนวนการวิจัยเรื่องคุณสมบัติของชาเขียว เช่น นิตยสาร Herbs for Health อ้างตัวอย่างรายงานจากญี่ปุ่นว่า คนที่ดื่มชาเขียว 10 แก้วต่อวัน จะปลอดโรคมะเร็งนานกว่าคนที่ดื่มชาเขียวน้อยกว่า 3 แก้วต่อวันถึง 3 ปี (มี Polyphenol ประมาณ 240-320 มก. ในชาเขียว 3 แก้ว) ขณะเดียวกัน การศึกษาของมหาวิทยาลัย Cleveland's Western Reserve สรุปว่า การดื่มชาเขียวสี่แก้วหรือมากกว่านั้น จะช่วยป้องกันโรคปวดข้อ หรือลดอาการปวดใน กรณีของคนที่ป่วยอยู่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่สถาบันวิจัยมะเร็ง Saitama พบว่า การเกิดโรคมะเร็งเต้านม หรือ การขยายตัวของโรคนั้น จะน้อยลงในผู้หญิงที่มีประวัติดื่มชาเขียว 5 ถ้วย หรือมากกว่านั้นต่อ 1 วัน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย มีการศึกษาเรื่องคุณสมบัติการป้องกันมะเร็งของชาเขียว พบว่าคุณสามารถได้รับปริมาณ Polyphenols ในปริมาณที่ต้องการได้โดยดื่มชาเขียวเพียง 2 ถ้วยต่อวัน แต่บริษัทผู้ค้าชาเขียวชนิดแคปซูลกลับกล่าวว่า หากต้องการให้ได้ประโยชน์สูงสุดแล้วล่ะก็ จะต้องดื่มชาเขียวถึงวันละ 10 ถ้วยเลยทีเดียว ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม การดื่มชาเพียง 4-5 ถ้วยต่อวัน ดูจะปลอดภัยที่สุด และถ้าคุณจริงจังกับการดื่มชาเขียวมาก ก็อาจจะดื่มได้มากกว่านั้น แต่จะได้ประโยชน์มากน้อยขึ้นอย่างไรนั้นก็คงต้องรอผลการวิจัยอื่น ๆ ต่อไป

ชาเขียวมีผลร้ายบ้างหรือไม่ 
จนถึงปัจจุบัน ผลด้านลบที่พบจากการดื่มชาเขียวคืออาการนอนไม่หลับ เนื่องมาจากคาเฟอิน อย่างไรก็ตาม ชาเขียวยังมีคาเฟอินน้อยกว่ากาแฟ คือประมาณ 30-60 มก. ต่อชา 6-8 ออนซ์ เมื่อเทียบกับจำนวนคาเฟอิน กว่า 100 มก. ที่พบในกาแฟ 8 ออนซ์

ดังนั้นการดื่มชาชงอยู่เสมอ จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่ถูกเชื่อว่ามีสารพิษหรืออนุมูลอิสระในร่างกายมากๆ อย่างเช่นผู้ที่อยู่ในโปรแกรมการกำจัดไขมัน หรือลดน้ำหนักหรือในผู้ที่ภาวะความเครียดจากการทำงานสูง เพราะสาระสำคัญจากชาจะช่วยในการกำจัดสารพิษตกค้างต่างๆและช่วยในการปรับให้ร่างกายของเราสามารถกลับคืนสู่สมดุลเดิมได้อย่างรวดเร็ว และส่งผลทำให้เราพร้อมที่ทำงานหนักหรือเข้าสู่โปรแกรมเฉพาะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย



ที่มาจาก   http://www.goldcupfoods.com/

ขิง สารพัดประโยชน์

 ขิง สมุนไพรสารพัดประโยชน์




     เมื่อเร็ว ๆ นี้ "ใกล้หมอ" ได้นำเสนอการค้นพบประโยชน์ใช้สอยใหม่ของขิงว่า สามารถบำบัดรักษาโรคข้ออักเสบได้ และปรากฏว่าได้รับความสนใจจากผู้อ่านหลายท่าน ที่กรุณาโทรศัพท์เข้ามาที่ "ใกล้หมอ" เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งกองบรรณาธิการขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้
        จากตำราพืชสมุนไพรไทย (THAI MEDICINAL PLANTES) ฉบับภาษาอังกฤษ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ขิงซึ่งเป็นอาหารและเครื่องดื่มมาช้านานแล้วนั้น จริง ๆ แล้วเป็นสมุนไพร ที่ออกฤทธิ์บำบัด ได้กว้างขวางแทบจะสารพัดโรค ซึ่งแน่ละว่าเราคงไม่หวังพึ่งขิงแต่เพียงลำพัง ในการบำบัดโรคต่าง ๆ แต่การได้รับทราบสรรพคุณมากมายของขิง ทำให้เราบริโภคขิง ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างมั่นใจ และอุ่นใจว่าสิ่งที่เราดื่มหรือรับประทานลงไปนั้น นอกจากจะเสริม รสชาติของอาหารและเครื่องดื่มแล้ว สารประกอบต่าง ๆ ที่มีอยู่ในขิงยังจะช่วยบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ ให้แก่เราด้วยไม่มากก็น้อย
     ตำราพฤกษาศาสตร์ ให้ชื่อขิงไว้เต็มยศว่า ZINGIBER OFFICINALE ROSCOE เป็นพืชที่ชอบอากาศร้อนชื้น จึงปลูกได้ทั่วไปในภูมิประเทศแถบร้อน
ตำราแพทย์แผนไทย บรรยายสรรพคุณจากส่วนต่าง ๆ ของขิงไว้มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น รากบริโภคแล้วจะมีอายุยืน, เสียงหวาน, ทำให้อยากอาหาร, ลดอาการท้องอืด, ท้องเฟ้อ, บรรเทาอาการนอนไม่หลับ, แก้ความผิดปกติของธาตุทั้งสี (ดิน น้ำ ลม ไฟ) เป็นต้น

ลำต้นเองก็มีประโยชน์ ในการบรรเทาอาการปวดท้อง, ปัสสาวะขัด, แก้ท้องอืด, ท้องเสีย ส่วนใบใช้บรรเทาไข้ ปัสสาวะขัด หรือบรรเทาอาการท้องอืดได้

ในบันทึกการใช้ขิงบำบัดความเจ็บป่วยต่าง ๆ มีกล่าวเป็นตัวอย่างไว้ เช่น น้ำขิงหนัก 5 กรัม มาบดหรือตำเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อต้มน้ำแล้วดื่มแก้ปวดท้อง หรือใช้ขิงถูกับหินแล้วผสม น้ำมะนาวเกลือ เพื่อจิบบ่อย ๆ แก้ไอ เป็นต้น

เมื่อใช้กรรมวิธีตรวจสอบทางเคมีสมัยใหม่ก็ทำให้เราทราบว่า ในขิงนั้นมีสารเคมีต่าง ๆ มากมายนับ 100 ชนิด รวมทั้งกรดอะมิโน, น้ำมัน, จินเจอรอล, กรดไขมัน, โชกาออล, แทนนิน เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ขิง มีสรรพคุณเป็นยาบำบัดอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ และยังมีคุณสมบัติเป็นอาหาร หรือเครื่องดื่มได้

การออกฤทธิ์ทางเภสัชสิทยาเท่าที่วิจัยพบแล้วมีอาทิเช่น

1. ลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล โดยการลดดูดซึมโคเลสเตอรอลจากอาหารในลำไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
2. ช่วยลดความอยากของคนติดยาเสพติดได้
3. มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ช่วยระงับการชักในสัตว์ทดลอง, เสริมฤทธิ์ของยานอนหลับ กลุ่ม BARBITURATE บรรเทาปวดลดไข้, ลดอาการเวียนศีรษะ
4. ออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
5. ป้องกันฟันผุ
6. ออกฤทธิ์ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด
7. บรรเทาอาการไอ
8. ป้องกันและบำบัดอาการปวดศีรษะจากไมเกรนได้
9. ลดการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร

ที่มาจาก    http://www.goldcupfoods.com/
ดื่มกาแฟให้มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ






    ก็ฉันสงสัยนี่.......................... หันไปถามเพื่อนหลายคนดื่มกาแฟทำไม  ฉันเห็น บางคนดื่มด้วยความเคยชิน  บางคนดื่มอย่างเคยตัว สุดท้ายกว่าจะรู้ตัวก็เป็นโรคติดกาแฟงอมแงมไปแล้ว ขาดกาแฟไม่ได้หงุดหงิดออกอาการให้เห็น  อีกทั้งรสนิยมการดื่มก็ช่างต่างกันมากมาย บางคนดื่มตอนเช้าวันละแก้ว บางคนดื่มจัดสองสามแก้วต่อวัน บ้างก็ดื่มไม่จำกัดเวลา คุณลุงบอกต้องขมเข้ม  คุณหนูบอกขอหวานมัน คุณพี่บอกของหอมนุ่ม คำตอบที่ได้ยิ่งทำให้สงสัย ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า  ดื่มแล้วหายง่วง  ดื่มแล้วสมองทำงาน ดื่มแล้วมีแรง ลดโคเลสเตอรอล  บางคนตอบ......ไม่รู้

สรุปว่าดื่มกาแฟแล้วต้องมีผลกระทบกับคนเราอย่างแน่นอน  ด้านจิตใจของผู้นิยมดื่มกาแฟนั้นเห็นกันชัดเจน แต่ผลต่อร่างกายผู้ดื่ม อันนี้จึงไปสืบเสาะค้นคว้ามาเล่าสู่กัน

ในกาแฟมีคาเฟอีน (Caffeine) เป็นสารประกอบหลัก เมื่อสกัดคาเฟอีนออกมาซึ่งมีลักษณะเป็นผงสีขาว มีรสขม คาเฟอีนนี้เป็นคาเฟอีนธรรมชาติที่มีฤทธิ์กระตุ้นต่อร่างกายชั่วคราวเท่านั้น

  • มี ฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และหัวใจ  ช่วยให้สมองตื่นตัวมากขึ้น ประมวลผลเร็วขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของงานที่ต้องการสมาธิ  เหตุผล และความจำมากขึ้น ลดอารมณ์หงุดหงิด ซึมเศร้า และความเครียดได้ ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกพึงพอใจ  อารมณ์ดี มีความสุข
  • มีฤทธิ์กระตุ้นกระเพาะอาหารให้หลั่งกรดย่อยอาหารบางชนิดออกมา จึงแนะนำให้ดื่มกาแฟหลังอาหารช่วยย่อยอาหาร
  • คา เฟอีนช่วยกระตุ้นการใช้พลังงานของร่างกาย  ทำให้ไขมันสลายตัวมากขึ้น  จึงอาจดื่มเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก แต่ระวังอย่าเติมน้ำตาลหรือนมไขมันสูงเข้าไปมากเกินความต้องการของร่างกาย
นอก จากคาเฟอีนยังมีสารประกอบอื่นกว่า 300 ชนิด เช่น กรดแทนนิค เป็นตัวทำให้กาแฟขม , เส้นใยอาหาร ซึ่งเมื่อผ่านความร้อน เส้นใยจะกลายเป็นคาร์โบไฮเดรต  และกรดแลคติกรวมกันคือสีน้ำตาลเข้มของกาแฟที่เราเห็น  และยังมีไนแทซเซียมและไนอาซีน ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดที่ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้  ในกาแฟถ้วยหนึ่งมีไนอาซีนประมาณ  1 มก. นอกจากนี้ยังมีไขมันและคาร์โบไฮเดรตอีกนิดหน่อย
ฤทธิ์ของคาเฟอีนต่อร่างกายคนเรามีค่าความปลอดภัยอยู่ที่ประมาณ 100-300 มก. ต่อวัน กาแฟแบบผงชงหนึ่งถ้วยมีคาเฟอีน 65 มก. กาแฟแบบต้มหนึ่งถ้วยมีคาเฟอีน 115 มก. 

เอาล่ะ.....ถ้าจะดื่มกาแฟแบบต้มประมาณ 2-3 ถ้วยต่อวัน น่าจะพอเหมาะพอดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย   แต่ถ้าเราได้รับคาเฟอีนเกินกว่า 300 มก.ต่อวันจะส่งผลอะไรกับร่างกายบ้าง เราควรจะดื่มกาแฟวันละมากน้อยเพียงใด องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ออกมาชี้แจงว่า หากดื่มกาแฟในปริมาณปานกลาง ไม่มากเกินไป ไม่ให้เกิน 300 มก.ต่อวัน  คาเฟอีนในกาแฟก็ไม่มีผลต่อสุขภาพของคุณ  ร่างกายของคนเราสามารถปรับตัวคงทนต่อฤทธิ์ของคาเฟอีนสูงขึ้น  บางคนยิ่งดื่มยิ่งติด และเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ ความทนทานนี้จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น อย่างไรก็ดี แต่ละคนควรที่จะสังเกตตัวเองด้วย เพราะคาเฟอีนมีผลต่อร่างกายและสภาวะของแต่ละคนต่างกัน มีข้อแนะนำดังนี้ค่ะ

  • คนที่นอนหลับยากในตอนกลางคืน อย่างดื่มกาแฟในปริมาณมาก หรือทานกาแฟในช่วงบ่าย
  • เด็ก อายุต่ำกว่า 10 ปี เด็กเล็กไม่ควรให้ดื่มกาแฟ  เด็กขับคาเฟอีนออกจากร่างกายได้ช้ากว่าผู้ใหญ่  ดังนั้น คาเฟอีนจะมีฤทธิ์ที่รุนแรงแก่เด็กมากกว่าผู้ใหญ่
  • สตรีมีครรภ์ถ้าดื่มกาแฟทารกจะดูดซึมคาเฟอีนเข้าไปด้วย ทางที่ดีควรงดดื่มไปก่อนเพราะอาจทำให้ทารกอยู่ในภาวะอ่อนแอ
  • มารดา ที่ให้นมบุตร  หากดื่มกาแฟ คาเฟอีนอาจปนเปื้อนในน้ำนม และทารกที่ดื่มน้ำนมชนิดพิเศษนี้อาจมีอาการไม่ยอมนอน ร้องกวน และอาจส่งผลต่อกระเพาะและลำไส้ของทารก
  • ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงของโรคหัวใจ คาเฟอีนจะกระตุ้นให้หัวใจทำงานมากขึ้นและส่งผลให้หัวใจเสื่อมเร็วขึ้น
  • ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ คาเฟอีนจะไปกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อย เพิ่มกรดในกระเพาะ หากรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาจะยิ่งทำให้กระเพาะอักเสบมากขึ้น
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีไขมันในเส้นเลือดสูง คาเฟอีนอาจส่งผลให้น้ำตาลในเส้นเลือด และไตรกลีเซอร์ไรด์สูงขึ้น จึงควรงดกาแฟไปก่อนนะคะ
  • บางคนติดกาแฟมานาน แต่พักหลังทานกาแฟแล้วมีอาการปวดหัว ปวดกระเพาะ กระวนกระวาย  ใจสั่น ควรลดปริมาณกาแฟลงและสังเกตตัวเองว่ารู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า
 คาเฟอีนมิได้มีอยู่แต่ในกาแฟนะคะ ในชา เครื่องดื่มคาร์บอเนต หลายๆ ชนิดก็พบคาเฟอีนเช่นเดียวกัน  ซึ่งพบอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ดังนั้น เราควรรู้จักคาเฟอีนเราควรจัดสรรให้เกิดความสมดุลของภาวะโภชนาการของตนเอง เราแต่ละคนรู้ตัวเองดีว่าพอดีพอเหมาะอยู่ที่ตรงไหน และเราดูแลตัวเองได้ค่ะ
---------------------------
ข้อมูลจาก http://www.hillkoff.com/

ประโยช์ของข้าวกล้อง

        ข้าวกล้อง อุดมด้วยสารโภชนาการที่มีคุณค่าต่อร่างกาย




             อาหารการกินของคนเราสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสุขภาพและความแข็งแรง แต่ไหนแต่ไรมา คนไทยกินข้าวซ้อมมือ ใช้กรรมวิธีในการตำข้าวเปลือกในครกกระเดื่อง ฝัดข้าวในกระด้งเอาเปลือกออก ร่อนจนเหลือแต่เมล็ดข้าว จึงเรียกว่าข้าวซ้อมมือ ซึ่งเป็นรูปแบบของข้าวกล้องในกรรมวิธีแบบโบราณที่ยังคงเส้นใยอาหาร สารอาหารครบถ้วนกว่า 20 ชนิด ชีวิตคนสมัยนั้นจึงปกติสุข ไม่มีโรคร้าย ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรงไขมันสูง โรคอ้วน โรคลำไส้และโรคมะเร็งใดๆ เบียดเบียนเลย จนกระทั่งเทคโนโลยีโรงสีข้าวนี่แหละเข้ามาสู่สังคมเกษตรกรรม ข้าวซ้อมมือที่แสนอร่อย เนื้อนุ่ม มีกลิ่นหอน มีกากข้าว สีเหลืองน้ำตาลหม่นมัว ก็ถูกแทนที่ด้วยข้าวสารขาว ถูกขัดสีฉวีวรรณถึง 3 รอบจนขาวสะอาดปราศจากเยื่อหุ้มข้าวจากโรงสีข้าวชั้นนำทั้งหลาย
อนิจจา ส่วนวิเศษของเมล็ดข้าวคือจมูกข้าว เยื่อหุ้มเมล็ด ถูกขัดและสีออกไปจนหมดเกลี้ยงล่อนจ้น คงเหลือแต่แป้งข้าวอันขาวสะอาด เมื่อหุงแล้ว สีข้าวขาวสวยงามน่ารับประทาน เนื้อข้าวก็อ่านนุ่มละมุนละไม ดูเป็นผู้ดี๊ผู้ดี ความนิยมของผู้บริโภคพุ่งปรู๊ดทีเดียว จึงทำให้ข้าวสารขาวแทนที่ข้าวซ้อมมืออย่างรวดเร็ว จนกระทั่งวิธีการกินข้าวของคนไทยเปลี่ยนไปหมดทั้งแผ่นดิน คนไทยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์กินข้าวขัดขาว แต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน พร้อมกับเริ่มเจ็บป่วยด้วยโรคเบาหวาน ไม่เว้นแม้คนชนบท
ส่วนวิเศษของข้าวคือจมูกข้าว กากที่หุ้มเมล็ดข้าวถูกขัดสีหลุดร่อนไปรวมกันอยู่เป็นผุยผง ในสิ่งที่เรียกกันว่า “รำข้าว” รำข้าวนั้นอ่อนนุ่ม หอมและหวาน รำข้าวกลายเป็นอาหารเลี้ยงหมูแต่นั้นมา คู่ ๆ กับการเกิดโรงสีข้าว รำข้าวอันแสนวิเศษที่เราทิ้งให้หมูกินกันมานานแสนนานนั้น บัดนี้กลายเป็นอาหารสุขภาพ ช่วยให้เราได้สารอาหารครบถ้วน ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก และรักษาสมดุลองค์รวมให้กับเรา กลายเป็นอาหารเสริมชั้นยอดที่ใช้ชงผสมเครื่องดื่ม
มารู้จักข้าวกล้องสุดแสนวิเศษของคนไทย ที่แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงรับสั่งให้พสกนิกรหันมากินข้าวกล้องกันเถิด เพื่อชีวิตที่แข็งแรง สุขภาพดี มีอายุยืนยาว อันนำไปสู่อนาคตของตนเองและประเทศชาติที่ ก้าวไกล
ข้าวกล้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนแบบสมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะข้าวกล้องเป็นแป้งจากธัญพืชที่ยังคงมีเยื่อข้าวซึ่งเป็นเส้นใยอาหารชั้นยอดห่อหุ้มตัวเมล็ดข้าวอยู่ค่อนข้างมาก เพราะผ่านกระบวนการขัดสีเพียงครั้งเดียว มีเส้นใยมากกว่าข้าวสารขาวถึง 15 เท่า คือในข้าวกล้อง 100 กรัม มีเส้นใยอาหารถึง 2-3 กรัม แต่ในข้าวสารขาวมีเพียง 0.15 กรัมเท่านั้น
บทบาทเส้นใยในข้าวกล้องนี่แหละที่ไม่ธรรมดาเหมือนเส้นใยอื่น ๆ เพราะเป็นเส้นใยที่ ต้านโรคเบาหวาน โดยตรง นอกจากนี้ ข้าวกล้องยังเป็นแหล่งสารอาหาร วิตามินต่าง ๆ มากมายถึงกว่า 20 ชนิด มากกว่าแหล่งอาหารอื่นใดทั้งหมด กล่าวคือ
วิตามินในเมล็ดข้าวกล้อง
วิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการเจริญเติบโต ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ ป้องกันโรคตาฝ้าฟางตอนกลางคืน พัฒนากระดูกและฟัน
วิตามินบี1 ทำหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต ทำให้เจริญอาหาร ช่วยการทำงานของระบบประสาท ป้องกันโรคเหน็บชา ร่างกายต้องการวิตามินบี1 จำนวน 30 มิลลิกรัม เป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ ร่างกายเก็บได้นานเพียง 9-18 วันเท่านั้น จำนวน 50% อยู่ตามกล้ามเนื้อ ที่เหลืออยู่ที่ตับและกระจายทั่วร่างกาย เราจึงต้องเติมวิตามินบี1 ให้ร่างกายบ่อย ๆ ด้วยการกินข้าวกล้อง
วิตามินบี2 สร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเซลล์หายใจเอาออกซิเจนจากกระแสเลือด ช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ให้เกิดเป็นพลังงาน ถ้าขาดวิตามินบี2 ทำให้เป็นโรคปากนกกระจอก ริมฝีปากแห้งแตง ใบหน้าผิวหนังแตกเป็นสะเก็ด คันในลูกตา ถูกแสงแดดจะปวดแสบปวดร้อน ทำให้เกิดสภาวะโคเลสเตอรอลสูง (ไขมันสูง) สามารถอุดตันในเส้นเลือดได้ เพราะวิตามินบี2 เป็นตัวขจัดโคเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL) ออกไปจากกระแสเลือด
วิตามินบี3 กระตุ้นการหมุนเวียนของแระแสเลือด ลดไขมันในเลือด ลดความดันเลือดลง ช่วยดูดซึมโปรตีน ไขมัน และน้ำตาล ถ้าจาดวิตามินบี3 ทำให้กระทบระบบทางเดินอาหาร เกิดการแสบคอ ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ความจำสับสน ความรู้สึกซึมเศร้า ผิวหนังแห้งแตก ตกสะเก็ด
วิตามินบี5 ช่วยสร้างเซลล์ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พัฒนาประสาทส่วนกลาง ช่วยผ่อนคลาย
วิตามินบี6 สร้างสารต้านอนุมูลอิสระ รักษาภาวะสมดุลของโซเดียม ฟอสฟอรัส และช่วยสร้างกรดอะมิโน
วิตามินซี เป็นตัวสมานแผล รักษาฟัน กระดูก เหงือก ช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก สร้างภูมิคุ้มกัน เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเส้นเลือด ป้องกันการเกิดสารมะเร็งจากไนเตรต
วิตามินดี ซึ่งอยู่ในแสงแดงเท่านั้น แต่กลับมีในเมล็ดข้าว เป็นที่น่าอัศจรรย์ ทั้งนี้เพราะเมล็ดข้าวสามารถดูดพลังแสงอาทิตย์เก็บเอาไว้ได้ วิตามินดีทำหน้าที่ช่วยร่างกายดูดเอาแคลเซียม และฟอสฟอรัสมาสร้างกระดูกและฟัน ช่วยการทำงานของหัวใจ ช่วยเสริมสร้างระบบประสาทส่วนกลาง
วิตามินอี ทำหน้าที่ช่วยกระจายออกซิเจนไปตามกระแสเลือด ชะลอความแก่ของเซลล์ ป้องกันแคลเซียมเกาะผนังหลอดเลือด (ทำให้เส้นเลือกเปราะและแตกง่าย เช่น กรณีเส้นเลือดแตกในสมอง หรือตามที่ต่าง ๆ เป็นต้น) เป็นสารหลักตัวหนึ่งในการต้านอนุมูลอิสระ
กรดโฟลิก มีส่วนช่วยสร้าง DNA และ RNA ในเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งมี DNA และ RNA ทำหน้าที่สร้างเซลล์ตัวใหม่ขึ้นมาแทนที่เซลล์ตัวเก่าที่หมดอายุขัย ช่วยในการเจริญเติบโตของระบบสืบพันธุ์ทั้งหญิงและชาย
เกลือแร่ในเมล็ดข้าวกล้อง
แคลเซียม ทำหน้าที่สร้างกระดูกและฟัน ควบคุมการเต้นของหัวใจ ควบคุมกระเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ระบบประสาท ลดความดันโลหิตสูง ช่วยให้ไตทำงานเป็นปกติ
โพแทสเซียม ทำหน้าที่รักษาระดับการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ ลดความดันโลหิตสูง กระตุ้นการทำงานของไต และรักษาสุขภาพผิวพรรณ
แมกนีเซียม ทำหน้าที่ช่วยร่างกายให้ใช้แคลเซียมและวิตามินซีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยกล้ามเนื้อหัวใจทำงาน รักษาระดับการเต้นของหัวใจให้อยู่ในระดับปกติ
ฟอสฟอรัส ช่วยให้ร่างกายใช้ออกซิเจนจากกระแสเลือดแดงได้ดี
เหล็ก เป็นส่วนสำคัญของเฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่นำออกซิเจนจากปอดส่งไปให้ยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และยังสร้างภูมิต้านทานในเลือดด้วย
สังกะสี ทำหน้าที่ช่วยสร้างโปรตีน ช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อ ช่วยรักษาเสถียรของเลือด พัฒนาระบบสืบพันธุ์และฮอร์โมนเพศชาย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
แมงกานีส ทำหน้าที่นำวิตามินบี1 และวิตามินอี มาช่วยย่อยอาหาร ย่อยไขมันเป็นกรดอะมิโน ช่วยสร้างกระดูก เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
ทองแดง ทำหน้าที่ช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก ช่วยนำวิตามินซีไปใช้สร้างกล้ามเนื้อ เซลล์ เม็ดเลือดแดง และกระดูก
ไอโอดีน ทำหน้าที่ช่วยพัฒนาต่อมไทรอยด์ เผาผลาญไขมันส่วนเกิน ควบคุมพลังงานในร่างกาย
ซีลีเนียม อยู่ในจมูกข้าว เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ ช่วยให้การทำงานของระบบต่าง ๆ มีประสิทธิภาพ ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยให้สตรีวัยทองยืดเวลาหมดประจำเดือนออกไปอีก และช่วยแก้อาการร้อนวูบวาบ
ไขมันชนิดไม่อิ่มตัวมีอยู่สูงด้วย ซึ่งเป็นไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่ไขมันตัวนี้จะอยู่ได้ไม่นานนักก็สลายตัวไปตามธรรมชาติ
โปรตีน ซึ่งเป็นไฟโตโปรตีน คือโปรตีนจากพืชที่ดีต่อร่างกาย ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ทำหน้าที่ซ่อมแซมส่วนสึกหรอของเนื้อเยื่อ
เบต้า-กลูแคน เป็นสารเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ซึ่งเป็นอีกตัวหนึ่งที่ต้านโรคเบาหวาน สร้างสุขภาพให้แข็งแรง
เส้นใยอาหารในข้าวกล้อง ซึ่งคือตัวช่วยทำให้ข้าวกล้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนแบบสมบูรณ์ เมื่อเรากินข้าวกล้องแล้ว ข้าวกล้องจะถูกย่อยเป็นกลูโคสอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะเส้นใยตัวนี้เองที่ต้านเอนไซม์ที่มาย่อยคาร์โบไฮเดรตเป็นกลูโคส ให้เอนไซม์ทำงานอย่างเชื่องช้า ดังนั้น ข้าวกล้อง 100 กรัม ให้พลังงาน 2 กิโลแคลอรี ในเวลา 30 นาที ทำให้กลูโคสเข้ากระแสเลือดทีละน้อย ๆ ตับอ่อนไม่ต้องทำงานหนัก ค่อย ๆ ผลิตอินซูลินออกมา เพราะภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดไม่ได้ล้นในทันที น้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดแต่น้อยและอยู่นาน ๆ ดังนั้นการกินข้าวกล้องจึงไม่ต้องกินมาก แต่อยู่ท้องได้นาน ทำให้เรากินข้าวได้พอดีเพียงแค่อิ่มท้อง ร่างกายก็เบาสบาย และไม่หิว แถมในข้าวกล้องยังมีวิตามินบีมากมายหลายตัว ล้วนเป็นสิ่งที่ตับและตับอ่อนต้องการ เพื่อนำไปใช้เผาผลาญกลูโคสให้เป็นพลังงาน เส้นใยอาหารจากข้าวกล้องยังเป็นกากอาหาร แหล่งอาหารชั้นดีของจุลินทรีย์ตัวดีที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่อีกด้วย
ดังนั้นขอเพียงแต่กินข้าวกล้อง ซึ่งเรากินได้ทุกมื้อ วันละ 3 เวลา สำหรับคนปกติเราก็จะได้เส้นใยอาหารมากถึง 10-15 มิลลิกรัม ขณะที่ร่างกายต้องการ 20 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนที่เหลือเราได้มาจากผัก ผลไม้ เมล็ดถั่วต่างๆ
กินเพียงข้าวกล้องให้เป็นชีวิตประจำวันเท่านั้น เราก็ได้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายทุกวันอย่างเพียงพอ ได้เส้นใยอาหารชั้นดี ต้านเบาหวาน สร้างสุขภาพที่แข็งแรงปลอดภัยจากสารพัดโรค




ที่มาจาก  www.goldcupfoods.com