ฉันเอง

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของการรับประทานอาหารช้า

กินช้าทำไม

   คลั่งก้าวของชีวิตของเราสามารถนำเราไปกินกังวลไม่เคี้ยวอาหารของเราพอกินใน rush, ปิดมุมของตารางในด้านหน้าของคอมพิวเตอร์หรือแม้แต่ในรถ ยังสละเวลาของคุณเมื่อรับประทานอาหารมีประโยชน์มากมาย :
  • กินช้าป้องกันการกินมากเกินไป : เมื่อความเต็มอิ่มความรู้สึกไม่ได้ทันทีที่เวลาคุณจะชื่นชมร่างกายของอาหารมากขึ้นเวลาที่คุณให้สมองของคุณเพื่อถอดรหัสข้อความที่ส่งโดย ในความเป็นจริงการกระทำง่ายๆของการกินช้าสามารถช่วยลดน้ำหนักหรืออย่างน้อยที่สุดช่วยให้รักษาน้ำหนักเพื่อสุขภาพ ชะลอตัวลงใส่ลงภาชนะของคุณทุกสองกัดและดื่มน้ำหรือนมในอาหาร
  • เพลิดเพลินเพิ่มเติมกัดกินหนึ่งครั้งจะช่วยให้คุณลิ้มรสอาหารของคุณมากขึ้น โดยให้ใช้เวลาในการนั่งกินกับคนที่สนุกสนานและเน้นอาหารของคุณในขณะที่หลีกเลี่ยงการรบกวนเช่นโทรทัศน์ ชะลอตัวลงในช่วง mealtimes หมายถึงการดูแลสุขภาพของคุณและวิธีการกิน savoring pleasures!
    ถ้าคุณเพียง wolf ลงคุณไม่เคยเห็นความแตกต่างในรสชาติและเนื้อสัมผัส มันเหมือนกับพยายามชื่นชมธรรมชาติ, แสง, สี, สภาพแวดล้อมที่สวยงามในขณะขับรถเร็วจริงๆ
  • การย่อยอาหารดีขึ้น : คุณรู้ไหมว่าเป็นส่วนสำคัญของการย่อยอาหารเกิดขึ้นในปากด้วยน้ำลายเอนไซม์ที่ผลิตโดย? การย่อยคาร์โบไฮเดรตจริงจะเริ่มขึ้นในปากของคุณแล้วคุณยังคงอยู่ในลำไส้เล็ก โปรตีนย่อยส่วนใหญ่ในท้องของคุณ เมื่อคุณเคี้ยวท้องของคุณจะส่งข้อความเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะมาและเพื่อให้สามารถเตรียมเอนไซม์ที่ถูกต้อง ดังนั้นการกินช้าๆและเคี้ยวอย่างถูกต้องปรับปรุงการย่อยของคุณในหลายๆ
  • ความต้านทานต่ออินซูลิน : ญี่ปุ่นวิจัยพบว่าการกินเร็วมีความเกี่ยวข้องกับความต้านทานต่ออินซูลิน ความต้านทานต่ออินซูลินเป็นภาวะเงียบที่เพิ่มโอกาสในการพัฒนาโรคเบาหวานและโรคหัวใจ นอกจากนี้การรับประทานอาหารอย่างรวดเร็วดูเหมือนจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับ metabolic syndrome (การรวมกันของอาการเช่นความดันโลหิตสูงโรคอ้วนคอเลสเตอรอลสูงและความต้านทานต่ออินซูลิน)
  • และ gastroesophageal reflux อิจฉาริษยา : การรับประทานอาหารอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดกรด มันอาจจะจริงอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทุกข์ทรมานจาก GERD (gastroesophageal Reflux โรค)


ที่มาจาก  www.lifemojo.com

โทษ และ ประโยชน์ของการดื่มชา

โทษ และ ประโยชน์ของการดื่มชา


  เครื่องดื่มชามีมานานกว่า 4,700 ปี นอกจากดื่มแก้กระหาย แก้ง่วง ยังช่วยต้านโรคที่เกิดจากอนุมูลอิสระ เราจะดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ มีคำแนะนำ
1. ชาร้อน ๆ จะทำให้สารที่เป็นประโยชน์ คือ "คาเทคชินส์" ถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพและยังนิยมชาร้อน ๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น

2. ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี แต่หากผ่านการทำให้ร้อนปริมาณสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายเช่นกัน

3. ชาร้อนหรือชาเย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชาและทำลายประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

4. ผู้รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกันควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมไปด้วย เพราะสารสำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

 


5. โทษของการดื่มชาต่อร่างกายก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสำคัญคือ "แทนนิน" จะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุต่าง ๆ จากอาหารที่รับประทาน ทำให้ลดการดูดซึมของสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย จึงมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชาไม่ว่าจะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อนเพราะจะทำให้ขาดสารอาหาร

6. ใบชายังมีองค์ประกอบที่ให้โทษต่อร่างกายที่ยังไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง คือ มีฟลูออไรด์ในปริมาณค่อนข้างสูง ทำให้เกิดการสะสมมีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคกระดูกพรุน โรคข้อ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับกระดูก แต่ถ้าดื่มไม่มากก็ไม่ต้องกังวล

7. ใบชามีสารที่ชื่อว่า "ออกซาเลท" แม้จะมีอยู่น้อย แต่หากดื่มชามาก ๆ และดื่มบ่อย ๆ เป็นประจำ สารนี้จะสะสมในร่างกาย เป็นอันตรายต่อไต

8. ใบชามีสารกาเฟอีนสูง
อาจสูงกว่ากาแฟด้วยซ้ำเพียงแต่การดื่มน้ำชาสารแทนนินจากชาจะป้องกันหรือลดการดูดซึมของกาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจและสมองน้อยกว่ากาแฟมาก
เพราะฉะนั้นเราจึงควรดื่มชาในปริมาณพอดี ๆ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

คุณประโยชน์ของสารอาหารจากพืชผัก

คุณประโยชน์ของสารอาหารจากพืชผัก




ผักและผลไม้สามารถแบ่งออกเป็นหลากหลายกลุ่มสี อันได้แก่ สีแดง, สีเหลือง/เขียว, สีเขียว, สีขาว/เขียว, สีส้ม/เหลือง, สีส้ม, สีแดง/ม่วง สีเหล่านี้ถูกผลิตมาจากสารอาหารจากพืชผักจำเพราะที่เรียกว่าไฟโตนิวเทรียนส์ (Phytonutrients) ที่จะทำปฎิกิริยากับร่างกายของเราและบางครั้งจะถูเก็บไว้ในร่างกาย สำหรับการมีสุขภาพที่ยอดเยี่ยม คุณควรรับประทานผักผลไม้หลากสีหนึ่งอย่างในแต่ละสีในทุกๆ วัน
  • สีส้ม-เหลือง ส้ม,ส้มจี๊ด,ลูกพีช,มะละกอ
  • สีส้ม แครอท,มะม่วง,แอพริคอท,แคนตาลูป,ฟักทอง,มันเทศ
  • สีแดง-ม่วง องุ่นแดง,ลูกพลับสดหรือแห้ง,ผลแครนเบอรี่,ราสเบอรี่,แบล็คเบอรี่,บลูเบอรี่,สตรอเบอรี่ 
  • สีแดง มะเขือเทศ,และผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ,แตงโม,ส้มโอ
  • สีเหลือง-เขียว ผักโขม,อโวคาโด,แตงเมลอน,ข้าวโพดเหลือง,ถั่วเขียว
  • สีเขียว บล็อคโคลี่,ถั่วงอก,ผักกาด,ผักกาดจีน,ผักปวยเล้ง
  • สีขาว-เขียว กระเทียม,หัวหอม,หอมหัวใหญ่,คื่นช่ายฝรั่ง,ต้นหอม,หน่อไม้ฝรั่ง
เราแนะนำให้รับประทานวันละ 7 ถ้วยตวง สำหรับผู้หญิง และ 9 ถ้วยตวง สำหรับผู้ชาย (หนึ่งถ้วยตวงสำหรับผักสด, สำหรับผักที่ปรุงแล้วให้เหลือครึ่งถ้วย หรือครึ่งถ้วยสำหรับผลไม้)
ในการทำให้การรับประทานผักผลไม้ 7 ถึง 9 ถ้วยตวงต่อวันเป็นเรื่องง่ายนั้น ลองรับประทานผักและผลไม้แช่แข็ง, ซอสมะเขือเทศหลากชนิด น้ำผลไม้หรือซุป และสลัีดทำสำเร็จ
สารอาหาร Phytonutrients สามารถช่วยป้องกันร่างกายเราจากมะเร็งได้
ประโยชน์ของสีในพืช
คุณทราบไหมคะว่าสารสีต่างๆ ที่มีอยู่ในพืชนั้นมีประโยชน์และมีบทบาทมากพอๆ กับวิตามินเลยทีเดียว โดยมาร์ ฟาร์กัวสัน ผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชก็ได้แยกไว้อย่างคร่าวๆ พอให้เข้าใจได้ง่ายได้ดังนี้ค่ะ
  • สารสีแดง มีสาร Cycopene เป็นตัวพิวเม้นท์ให้สีแดงในแตงโม มะเขือเทศ สาร Betacycin ให้สีแดง ในลูกทับทิม บีทรูท และแคนเบอร์รี่ สารทั้งสองอย่างนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxydants ซึ่งจะช่วยป้อง กันการเกิดมะเร็งหลายชนิด
  • สารสีส้ม ผักและผลไม้สีส้ม เช่น มะละกอ แครอท มีสาร Betacarotene ซึ่งมีศักยภาพต้านอนุมูลอิสระอันเป็นตัวก่อมะเม็ง คนผิวขาวซีดที่กินมะละกอหรือแครอทมาก ผิวจะออกสีเหลืองสวย ทางกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาประกาศว่า การกินแครอทวันละ 2-3 หัว จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือด คนไทยที่ทดลองกินมะละกอห่ามมากๆ นานถึง 2 ปี จะช่วยเปลี่ยนสีผิวหน้าที่เป็นฝ้าให้หายได้โดยไม่ต้องพึ่งครีมแก้ฝ้าเลย
  • สารสีเหลือง พิกเม้นต์ Lutein คือสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ช่วยป้องกันกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรตินาดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนแก่มองไม่เห็น
  • สารสีเขียว พิกเม้นต์คลอโรฟีลล์ (Chlorophyll ) เป็นสารที่ให้สีเขียวแก่ผักต่างๆ ผักที่มีสีเขียวแก่ผักต่างๆ ผักที่มีสีเขียวเข้มมากก็ยิ่งมีคลอโรฟีลล์มาก เช่น ตำลึง คะน้า บร็อกโคลี่ ชะพลู บัวบก เป็นต้น และสารคลอโรฟีลล์ ก็มีคุณค่ามากเหลือเกิน นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเมื่อคลอโรฟีลล์ถูกย่อยแล้ว จะมีพลังแรงมากในการป้องกันมะเร็ง ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆ ในตัวคนด้วย
  • สารสีม่วง พืชสีม่วงมีสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) เป็นต้นให้สีม่วงที่คุณเห็นในดอกอัญชัน กะหล่ำม่วงผิวชมพู่มะเหมี่ยว มะเขือม่วง แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสารตัวนี้ช่วย
ลบล้างสารที่ก่อมะเร็งและสาร Anthocyanin นี้ยังออกฤทธิ์ทางขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และอัมพาตด้วย


  ที่มาจาก   www.look4thailand.com

วิธีแก้หล้งเป็นสิว เริ่มที่ต้นเหตุ

   วิธีแก้หลังเป็นสิว
    "เริ่มตั้งแต่ต้นเหตุ!"ใครหลังเป็นสิวบ้างยกมือขึ้นค่ะ วันนี้เราพาคุณผู้หญิงมาหาวิธีแก้หลังเป็นสิวเริ่มตั้งแต่ต้นเหตุกันเลยดีกว่าค่ะ เพราะเรารู้ดีกว่าการหากหลังเป็นสิวอาจจะทำให้คุณผู้หญิง ๆ หลายคนอดใส่เสื้อผ้าสายเดี่ยว เกาะอก หรือจะใส่เสื้อผ้าที่เปิดหลังไม่ได้เลยเพราะมัวแต่กังวลเรื่องหลังเป็นสิวกันอยู่ใช่ไหมล่ะค่ะ การเป็นหลังที่สิวทำให้เกิดปัญหาแผลเป็นและจุดด่างดำที่สิวทิ้วไว้ให้เราด้วยอีกต่างหาก ฉะนั้นเรามาดู วิธีแก้หลังเป็นสิว กันตั้งแต่ตอนนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดหลังเป็นสิวกันอีกเพราะเราจะเริ่ม วิธีแก้หลังเป็นสิว กันตั้งแต่ต้นเหตุกันเลยค่ะ





วิธีแก้หลังเป็นสิว


ก่อนอื่นเลยค่ะหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำให้เกิดผดผื่นดังกล่าวเสียก่อนค่ะ นั่นก็คือแสงแดด ความอับชื้น เหงื่อ เป็นต้น ควรเลือกเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดีค่ะ นอกจากนี้ยังมีอีกสาเหตุค่ะ นั่นคือ ไม่ยอมอาบน้ำโดยเฉพาะตอนเย็นหรือที่นอนสกปรกก็เป็นสาเหตุให้เกิดสิวที่หลังได้นะคะ เพราะตอนกลางคืนขณะที่เราหลับสิ่งสกปรกเหล่านี้จะมาอุดตันได้ง่ายค่ะ หากที่นอน หมอน หรือชุดนอนเราสกปรก (ใส่หลาย ๆ วันเพราะคิดว่าอยู่ห้องแอร์ไม่มีเหงื่อ) หรือไม่อาบน้ำแล้วมานอนเลยก็อาจทำให้เกิดสิวที่หลังได้ง่าย ๆ ค่ะ รู้อย่างนี้แล้วนะคะอย่าหมักหมมเด็ดขาดค่ะ หมั่นซักผ้าปูที่นอน ชุดนอน และอาบน้ำทุกครั้งก่อนนอนค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สยามดารา ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

ประโยชน์ของกีวี

     ประโยชน์ของกีวี    


    แหล่งวิตามินซีในปริมาณสูงสุด

        นอกจากกีวีสีเขียวที่เราคุ้นเคยยังมีกีวีโกลด์หรือกีวีสีทองให้เลือกบริโภค กีวีทั้งสองชนิดมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดหากเทียบกับผลไม้ขึ้นชื่อเรื่องวิตามินซี อาทิ ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่ากีวีหนึ่งผล มีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็นได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งเป็นเกราะธรรมชาติที่ช่วยป้องกัน ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ

อุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
      โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรมจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ยังช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%





   สุดยอดคุณค่าวิตามินอี


     วิตามินอีได้รับการขนานนามว่าช่วยชะลอความแก่ชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการเสื่อมสภาพแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่ากีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะกีวีทองซึ่งมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า


เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์

ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่เข้าไปยึดพื้นที่ในระบบทางเดินอาหารทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหารรวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไทยรัฐ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

คุณค่าทางโภชนาการของน้ำฟักทอง

คุณค่าทางโภชนาการของน้ำฟักทอง




ฟักทอง
     ฟักทองเป็นผักที่มีประโยชน์และสามารถนำไปใช้ได้หลายทาง มนุษย์รู้จักปลูกและนำฟักทองไปใช้เป็นเวลานานแล้ว ซึ่งถูกค้นพบในทวีปอเมริกาประโยชน์ของฟักทอง
    เนื้อฟักทองให้รสชาติมันอมหวาน จึงใช้ทำอาหารได้ทั้งคาวหวาน เช่น ฟักทองผัดไข่ แกงเลียงรวมผัก ฟักทองแกงบวด สังขยาฟักทอง เมล็ดฟักทองก็สามารถใช้เป็นทั้งยาและอาหารเสริมชั้นดี ร้อยละ 40 ในเมล็ดฟักทองเป็นไขมันจึงนำมาสกัดเป็นน้ำมันปรุงอาหาร กรดอมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ นอกจากนั้นเมล็ดฟักทองมีสารที่ออกฤทธิ์ขับพยาธิตัวตืดออกมาได้ยอดเยี่ยม ฟักทองสามารถนำมาออกจิ้มน้ำพริก ผัดน้ำมัน ใส่ลงหม้อแกงเลียง แกงส้มก็ได้ เนื้อของฟักทองอุดมไปด้วยสารเบต้า-เคโรทีน สัมพันธ์กับการลดโอกาสเกิดมะเร็งในมนุษย์ เนื้อฟักทองได้รับการพิสูจน์และว่า ปราศจากสารที่เป็นคู่อริต่อสุขภาพทั้งโซเดียมและคอเรสเตอรอล หากกินทั้งเปลือกฟักทองยังสามารถกระตุ้นการหลั่งของอินซูลิน ซึ่งเร่งช่วยควบคุระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันเบาหวาน โรคความดันโลหิต บำรุงตับไต นัยน์ตา และอวัยวะสำคัญที่ควบคุมสมดุลร่างกายโดยช่วยสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ         นอกจากนี้เมล็ดฟักทองมีฟอสฟอรัสสูงสามารถนำไปกวนใช้เป็นอาหารเสริมให้แก่เด็ก ๆ ได้ ผลฟักทองมี่มีคุณภาพดีต้องเป็นผลขนาดเล็กเนื้อแน่น ๆ ถ้าอยากกินฟักทองรสเข้มข้น เนื้อกระชับพิเศษก็ให้วางผลฟักทองทิ้งไว้ข้างนอกซักหลาย ๆ วัน น้ำที่ระเหยออกไปจากผลจะช่วยให้เนื้อฟักทองมีรสจัดจ้านขึ้นและสารเบต้า-แคโรทีนก็เพิ่มมากขึ้นด้วย

ที่มาจาก    www.bloggang.com
      ประโยชน์จากสารอาหารของธัญพืชฟักทอง

   ฟักทองเป็นผักที่มีประโยชน์มากอีกชนิดหนึ่ง นอกจากจะใช้เนื้อฟักทองเป็นอาหารแล้ว ยังสามารถใช้เป็นยาได้ด้วยเมล็ดฟักทองก็นำไปคั่วกินเป็นอาหารว่างได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถสกัดน้ำมันจากเมล็ดฟักทองใช้เป็นยาได้อีกด้วย
ฟักทองมีวิตามินอยู่หลายชนิดมีรายงานทางการแพทย์พบว่า ฟักทองมีฤทธิ์ป้องกัน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคไต ทั้งนี้เนื่องจากฟักทองสามารถกระตุ้นการหลั่งของอินซูลินในร่างกาย นอกจากนี้ฟักทองยังช่วยเสริมสมรรถภาพของตับไต และช่วยเพิ่มการสร้างเซลล์ของตับและไต
การใช้ฟักทองทั้งผลใช้เป็นยานั้นเป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว จนพูดกันว่าฟักทองทั้งผลใช้เป็นยาได้ทั้งหมด เพราะทั้งเนื้อ เมล็ด ราก และเครือฟักทอง ( หมายถึงลำต้น ซึ่งเป็นเถาเลื้อย ) ล้วนใช้เป็นยาได้ ฟักทองมีรสหวาน ฤทธิ์อุ่น มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลังลดอาการอักเสบ แก้ปวด และที่สำคัญคือมีฤทธิ์ในการขับพยาธิอีกด้วย
มีข้อควรระวังอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือ คนที่กระเพาะร้อน ( คือมีอาการกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ปัสสาวะน้อย ท้องผูก ถ้าร้อนมากขึ้นไปอีกอาจพบแผลใน ช่องปาก ปากเปื่อย เหงือกบวมแดง ชอบทานน้ำเย็น ) ไม่ควรกินฟักทองให้มาก เพราะฟักทองจัดเป็นยาร้อนแม้คนปรกติเอง ถ้ากินครั้งเดียงมาก ๆ ก็อาจจะทำให้มี อาการท้องอีด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้
สำหรับเมล็ดฟักทองมีไขมันอยู่จำนวนมาก สามารถบีบเอาน้ำมันออกมาได้ใช้เป็นน้ำมันพืช นอกจากนี้ยังมีโปรตีน และวิตามิน บี และ ซี อีกด้วย